OMAD วันที่ 13 เหมือนมีอุปสรรค น้ำหนักก็ค้าง

วันนี้เป็นวันที่ 13 แล้ว ร่างกายปรับสภาพของเขาแล้ว จะทานน้อย/มาก การเก็บสะสมและการดึงออกมาใช้ดูเหมือนว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี ทานน้อย ลดมื้อลง แต่ร่างกายก็ไม่ได้เหนื่อยอะไร สิ่งที่จะต้องสู้กลับไม่ใช่ร่างกาย แต่มันคือจิตใจของเราเอง การลดน้ำหนักแบบนี้เรียกว่าโหด คนที่สู้กับความหิวไม่ได้ ต้องหลีกเลี้ยงสิ่งยั่วยวนต่าง ๆ การติดตามรายการเพ็จอาหาร รายการเพ็จท่องเที่ยวที่มีการร้านอาการ การกินต่าง ๆ หรือแม้แต่ กับผู้คนในบ้านที่อาจจะคอยห่วงเราว่าเราจะเป็นอะไรไปในระหว่าง OMAD เราจะต้องคอยสื่อสารกับพวกเขาว่าเราไม่มีอาการผิดปกติอะไร อยู่ได้ แล้วก็สบายตัวขึ้นด้วย เพื่อลดความกังวลของคนรอบข้าง บางครั้งเขาห่วงเรามาก ๆ ถึงกลับเอาของกินมาวางไว้ใกล้ ๆ เผื่อเราอดไม่ได้จะได้ยัดกลับเข้าในปากได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือตัวแปรสำคัญของการทำภารกิจไม่สำเร็จ ถ้าเอาไม่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้ แต่เพื่อไม่ให้เขาต้องเสียใจ ก็มีแอบ ๆ เอาไปเก็บในตู้เย็น วางไว้ห่าง ๆ บ้างเมื่อเขาเผลอ

แต่เมื่อเราผ่านแล้ว เอาชนะใจเราได้ สิ่งที่จะเป็นเรื่องดีต่อมาก็คือ เราจะทานของที่มีประโยชน์ขึ้น โดยไม่เลือกที่จะทานอาหารขยะเลย น้ำอัดบ้าง อาหารไขมันบ้าง เพราะการทานน้อยจะต้องเน้นคุณภาพ ได้ครบตามหลักโภชนาการ อีกส่วนคือการปรับตัวของอวัยวะภายใน กระเพาะอาหารเราจะรับรู้การทานของเราได้ดีขึ้น มีความรู้สึกว่าเขาปรับขนาดการรับลดลง พอทานไปได้สักพัก จะมีเตือนว่าน่าจะเพียงพอแล้ว หลังจากนั้นเมื่อทานน้ำก็จะอิ่มพอดี ไม่มีคำว่าขยายตัวรับเพิ่ม คำว่าโรคกระเพาะทิ้งไปได้เลยครับ เมื่อทำเป็นประจำ การหลั่งกรดหรือน้ำย่อย ก็จะออกมาเป็นเวลาที่เรากำหนด เช่น เรากำหนดว่าประมาณ 10 นาฬิกาของทุกวันเป็นมื้ออาหารของเรา ก็ช่วงประมาณนั้นแหละเป็นเวลาที่น้ำย่อยของเราจะออกมาพอดี ๆ เลย

หลังวันที่ 10 ร่างกายเริ่มปรับตัวได้ดี แม้ว่าจะทานเพียงวันละมื้อ ก็ยังมีแรงให้สามารถออกกำลังกายได้ ลู่วิ่งที่เคยเป็นไม้ตากผ้ามื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ก็เริ่มได้ว่าเวลาที่จะนำมาใช้งาน ด้วยการเดินเบา ๆ วันละ 20-30 นาทีแล้ว เพื่อให้กล้ามเนื้อที่หลังจากน้ำหนักมาได้ มีความกระชับ ไม่หย่อนยาน วันแรกก็เจอปัญหา หลังจากออกกำลังด้วยการเดินบนลู่ และวิ่งเบา ๆ ได้ไม่ถึง 20 นาที ลู่วิ่งก็หยุดกระทันหัน หัวแทบทิ่มเพราะแรงเฉื่อยจากการวิ่ง จากนั้นก็ขึ้นค่า E1 เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลองรื้อ ๆ ออกมาทำความสะอาดชุดต่าง ๆ ก็ยังไม่หาย ทำไงดี ลองเอาแบตเตอร์รี่มาต่อตรงที่มอเตอร์ก็ทำงานได้ เลยพยายามหาข้อมูล จนพบว่ามีความเป็นไปได้ที่บอร์ดควบคลุมมอเตอร์จะเสีย คือมันไม่รับเซนเซอร์จากมอเตอร์ หลายแหล่งบอกให้หาตัวแม่เหล็กที่เป็นเซนเซอร์ว่ามีไหม เราก็พยายามหาก็ไม่พบว่ามี มีแต่ตัววัดความเร็ว ทำความสะอาดเสร็จลองประกอบกลับ ปรากฏว่ากลับมาทำงานได้ แต่ได้ไม่ถึง 5-10 นาทีก็หยุดอีก เอาไงดี ถ่ายภาพบอร์ดแล้วค้นหา พบว่ามีจำหน่ายใน Lazada ด้วยตัวนี้

ซึ่งสนนราคาก็ไม่ได้ถูกนะครับ 2,900 บาทเลยทีเดียว จำได้ว่าตอนที่ซื้อลู่วิ่งตัวนี้มา ได้มาในราคาโปรโมชั่น 3,700 บาท ใช้คูปองส่วนลดก็ได้ราคาที่ 2,700 บาท ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ราคาบอร์ดจะแพงกว่าราคาลู่วิ่งกันเลยทีเดียว กำลังคิดว่า หากไม่ซีเรียสเรื่องหน้าจอแสดงผล เอาแค่มันวิ่งได้ หากไม่สามารถซ่อมกลับมาได้ คิดว่าจะซื้อเครื่องแปลงไฟแบบปรับค่าได้ มาใช้กับมอเตอร์ตัวนี้เลย เอาแค่พอได้วิ่งพอ ซึ่งมอเตอร์ตัวนี้ใช้ไฟ DC 180V ซึ่งพบว่ามีตัวแปลงไฟฟ้าแบบนี้

ซึ่งมีขายใน Lazada เช่นกัน ราคาประมาณ 5 ร้อยกว่าบาท จากทำหน้าที่แปลงไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ จากไฟกระแสสลับ 220V เป็นไฟฟ้ากระแสตรง DC 0-180V ก็ใช้งานกับมอเตอร์ของลู่วิ่งได้ พอดี ก็จะประหยัดได้มาก ๆ และใช้งานลู่วิ่งต่อได้ หรือถ้าแบบไม่เอากล่องสวยแบบนี้ ก็จะมีแบบบอร์ดควบคลุมราคาลดลงไปอีกประมาณ 2 ร้อยกว่าบาท

วางแผนแก้ปัญหาการออกกำลังกายไว้ประมาณนี้ คิดว่าปัญหานี้น่าจะหมดไป ซึ่งถามว่าทำไมต้องมากังวลเรื่องออกกำลังกายในเมื่อ OMAD ไปแล้ว ก็จะบอกว่า ผ่านมา 13 วัน ตอนลดจาก 85 ลงมาที่ 79 ใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน แต่ตอนนี้ ร่างกายเกิดการปรับตัว ค้างค่า 79 กิโลกรัมมา 2-3 วันแล้ว ไม่ยอมลดลงไปอีก ต้องออกกำลังกายช่วย เป้าหมายตอนนี้ตั้งใจให้ลดลงไปที่ 71 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน การลดอาหารคงเอาแค่วันละมื้อนี่โหดสุดพอแล้ว ที่เหลือต้องออกกำลังกายช่วย หลังจากนี้เมื่อครบ 30 วันมาดูกันครับว่าจะชาเรนจ์ตัวเองสำเร็จไหม ไปละครับทำงานแล้ว

ข้อความนี้ถูกเขียนใน My life คั่นหน้า ลิงก์ถาวร